๑. เกิดจากการเลียนแบบธรรมชาติ
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวอิริยาบถตามธรรมชาติของมนุษย์ เช่น แขน ขา หน้าตา หรือการแสดงความรู้สึก อารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในกิริยาอาการต่างๆ เช่น ความโกรธ ความรัก โศกเศร้า เสียใจ มนุษย์ได้ใช้ลักษณะท่าทางต่างๆ เหล่านี้ในการสื่อความหมาย และนำมาดัดแปลงให้นุ่มนวลน่าดู ชัดเจนไปกว่าธรรมชาติ จนเกิดเป็นศิลปะการฟ้อนรำขึ้นและใช้เป็นการแสดง โดยมีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จนกระทั่งเกิดเป็นท่าทางการร่ายรำที่งดงามที่เป็นพื้นฐานของการฟ้อนรำ
๒.เกิดจากการมนุษย์คิดประดิษฐ์หาเครื่องบันเทิงใจ
เมื่อหยุดพักจากภารกิจประจำวันเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย โดยเริ่มจากการเล่าเรื่องต่างๆ สู่กันฟัง เช่น นิทาน นิยาย ต่อมาได้มีวิวัฒนาการโดยนำเอาดนตรีมาประกอบการเล่าเรื่องเหล่านั้น ภายหลังมีการประดิษฐ์ท่าทางต่างๆ และมีการพัฒนารูปแบบไปเป็นการร่ายรำจนถึงขั้นการแสดงเป็นเรื่องราว
๓.เกิดจากการละเล่นเลียนแบบของมนุษย์
ที่มักหาความสนุกสนานและความเพลิดเพลินจากการเลียนแบบแม้เรื่องราวของตนเอง เช่น เลียนแบบท่าทางของพ่อ แม่ ครู ผู้ใหญ่ หรือเลียนแบบธรรมชาติสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น การเล่นงูกินหาง การเล่นขายของ ความสนุกของการเล่นเลียนแบบอยู่ที่การได้เล่นเป็นคนอื่น ซึ่งถือเป็นการเรียนรู้ในเรื่องของการแสดงขั้นต้นของมนุษย์ ที่นำไปสู่ การสร้างสรรค์การแสดงนาฏศิลป์
๔.เกิดจากการเซ่นบวงสรวงบูชาเทพเจ้า
ในสมัยก่อนมนุษย์มีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า พระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจะเคารพบูชาในสิ่งที่ตนนับถือ เมื่อมนุษย์เกิดความหวั่นกลัวจะมีการเคารพสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เริ่มจากการอธิษฐานบวงสรวงบูชาด้วยอาหาร ต่อมามีการบวงสรวงบูชาด้วยการร่ายรำ มีการเล่นเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า และมีการร้องประกอบ เพื่อให้เทพเจ้าพอใจ มีความกรุณาผ่อนผันหนักเป็นเบา หรือประทานให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น